วิธีแก้ปัญหาของทีมด้วยแนวคิดแบบเติบโต (Growth Mindset)

Published on
Written by

ในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ทีมงานต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย ตั้งแต่ปัญหาการสื่อสารไปจนถึงการพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่งของนวัตกรรม หนึ่งในแนวคิดที่ได้รับการยอมรับอย่างมากในการแก้ปัญหาเหล่านี้คือแนวคิดแบบเติบโต หรือ Growth Mindset” แนวคิดที่ว่าความสามารถและสติปัญญาสามารถพัฒนาได้ผ่านความมุ่งมั่นและการทำงานอย่างหนัก บทความนี้จะกล่าวถึงวิธีการนำแนวคิดแบบเติบโตมาใช้แก้ปัญหาที่ทีมงานพบบ่อย ที่มาของแนวคิดนี้ ประโยชน์ที่องค์กรจะได้รับ และวิธีสังเกตว่าทีมของคุณขาดแนวคิดแบบเติบโตหรือไม่ 

มาทำความเข้าใจแนวคิดแบบเติบโตกัน (Growth Mindset) 

ต้นกำเนิดและหลักการของแนวคิดแบบเติบโต

แนวคิดแบบเติบโต (Growth Mindset) มาจากการวิจัยของศาสตราจารย์ Carol Dweck แห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ผลงานสำคัญของเธอMindset: The New Psychology of Success”  เปรียบเทียบแนวคิดแบบเติบโต (Growth Mindset) กับแนวคิดแบบคงที่ (Fixed Mindset) แนวคิดแบบคงที่คือความเชื่อที่ว่าความสามารถและสติปัญญาเป็นคุณลักษณะที่คงที่ไม่สามารถพัฒนาได้มากนัก ผู้ที่มีแนวคิดแบบคงที่มักหลีกเลี่ยงความท้าทาย ละทิ้งง่าย และมองว่าความพยายามเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ 

ตรงกันข้ามกับแนวคิดแบบเติบโต ผู้ที่มีแนวคิดแบบเติบโตจะยอมรับความท้าทาย ยืนหยัดเมื่อต้องเผชิญกับอุปสรรค มองว่าความพยายามเป็นเส้นทางสู่ความเชี่ยวชาญ และเรียนรู้จากคำวิจารณ์ พวกเขายังพบบทเรียนและแรงบันดาลใจจากความสำเร็จของผู้อื่น แนวคิดนี้ส่งเสริมความยืดหยุ่นและความรักในการเรียนรู้ ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่จำเป็นสำหรับความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ 

แนวคิดแบบเติบโตเมื่อนำมาใช้ในทีม 

เมื่อใช้แนวคิดแบบเติบโตกับทีม จะส่งเสริมวัฒนธรรมให้สมาชิกในทีมสนับสนุนการพัฒนาของกันและกัน มองการปรับปรุงเป็นเรื่องปกติ และมองว่าความท้าทายเป็นโอกาสในการเรียนรู้ร่วมกัน การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมนี้สามารถเปลี่ยนแปลงบรรยากาศของทีมได้ดีที่สุด เพื่อนำไปสู่ความร่วมมือที่ดีขึ้น นวัตกรรมใหม่ ๆ และเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมในการทำงาน 

5 ปัญหาที่แก้ได้ด้วยแนวคิดแบบเติบโต 

  1. อุปสรรคทางการสื่อสาร

การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพเป็นพื้นฐานของทีมที่ประสบความสำเร็จ แต่อุปสรรคทางการสื่อสารมักเกิดขึ้นจากความเข้าใจผิด และการขาดความเปิดใจเปิดกว้างทางความคิด อุปสรรคเหล่านี้สามารถนำไปสู่ความขัดแย้ง และสภาพแวดล้อมการทำงานที่ห่อเหี่ยว และหมดไฟ 

  1. การต่อต้านการเปลี่ยนแปลง

การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ การปรับโครงสร้าง หรือการเปลี่ยนแปลงตามความต้องการของตลาด แต่อย่างไรก็ตาม หลายทีมมักต่อต้านการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากความกลัวต่อสิ่งที่ไม่รู้จักหรือแนวคิดแบบคงที่ที่ชอบสภาพที่เป็นอยู่ใน comfort zone  

  1. ขาดนวัตกรรม

นวัตกรรมเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความได้เปรียบในการแข่งขัน แต่แนวคิดแบบคงที่สามารถขัดขวางนวัตกรรมได้โดยการกลัวความล้มเหลวและชอบวิธีการที่ปลอดภัยและคุ้นเคย ทีมอาจกลายเป็นทีมที่ไม่มีไอเดีย สร้างสรรค์ มากนัก มีแนวคิดในการทำตามวิธีเดิม และหลีกเลี่ยงความเสี่ยง 

  1. การทำงานร่วมกันที่ไม่มีประสิทธิภาพ

การทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพต้องการการทำงานร่วมกัน แต่แนวคิดแบบคงที่สามารถนำไปสู่การทำงานแบบแยกกันทำ ไม่ต้องการฟังใครหรือเก็บงำความรู้ ไม่มีการแชร์ข้อมูล และอาจจะแข่งขันกันจนขาดซึ่งการทำงานอย่างเป็นทีมที่ดี สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ ลดประสิทธิภาพของทีมทั้งสิ้น 

  1. การหมดไฟของพนักงาน

สภาพแวดล้อมที่มีความกดดันสูงและความคาดหวังที่ไม่สามารถทำได้จริง ภาวะงานที่เยอะกว่าผู้ทำงานหลายเท่าเกิดภาระอันหนักอึ้ง ต่อตัวพนักงาน นำไปสู่การหมดไฟของพนักงาน หากมีเพียงแนวคิดแบบคงที่จะยิ่งทำให้ปัญหานี้แย่ลงไปอีกเพราะจะยิ่งเชื่อว่าตนเองนั้นเกิดมาไม่เก่ง ไม่มีความสามารถ ทัดเทียมต่อคนอื่น และเชื่อแค่ว่าผู้ที่เก่งล้วนมาจากพรสวรรค์ ท้ายที่สุดแทนที่จะใส่ใจและเริ่มความพยายามและการพัฒนา ก็จะกลายกลับเป็นนิ่งเฉย และถอดใจ 

 Cultivate growth mindset 

หากสนใจการฝึกฝนแนวคิดแบบเติบโต ผู้อ่านไม่ควรพลาดหลักสูตร Cultivate growth mindset ของทางบริษัท LHH Thailand สามารถฝึกฝนให้ท่านผู้อ่านสร้างกระบวนการ คิดแบบเติบโตให้เกิดขึ้นได้ดังนี้ 

  1. การค้นพบตนเอง และทำความเข้าใจ Self Talk ที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์มีกี่ประเภท และเป็นลักษณะแบบใด มีผลอย่างไรกับตัวเราหากเรามีความคิดความเชื่ออย่างนั้นซ้ำ ในชีวิตประจำวัน
  2. การฝึกกระบวนความคิด เพื่อหยุดยั้งการคิดแบบคงที่ว่าเราไม่สามารถทำได้ดี ไม่มีทางสำเร็จ เปลี่ยนแปลงเป็นหากลงมือทำเราก็ได้ประสบการณ์ และยิ่งทำซ้ำก็ยิ่งเพิ่มโอกาสต่อการเป็นผู้ชำนาญในทักษะที่ฝึกฝนมากยิ่งขึ้น
  3. การเรียนรู้เทคนิคการหยุดพัก ถอยออกมามองปัญหา และคิดวิเคราะห์การแก้ปัญหาที่แตกต่างจากเดิมและมองปัญหา จากหลายมุมมอง เพื่อเข้าใจและรู้จักพักเพื่อสู้ใหม่อีกครั้ง
  4. การฝึกกิจกรรมที่ส่งเสริมบรรยากาศแนวคิดแบบเติบโตของคนในทีม เช่นการฝึกการซัพพอรต์ การแชร์ประสบการณ์ ที่เกิดจากข้อผิดพลาด การเปิดใจรับฟังฟีดแบคและการให้ฟีดแบค การยกย่องชมเชยผู้ประสบความสําเร็จ การช่วยเหลือผู้อื่นและการให้รางวัล
  5. การช่วยระบุพฤติกรรมที่ช่วยสร้างสังคมที่มีความคิดแบบเติบโต เพื่อให้ทุกวันเป็นการคำนึงถึงทีมที่ต่อสู้กับปัญหาและเคียงข้างกันเสมอ

 สรุป 

ไม่มีอะไรยากเกินกว่าความพยายามของเราขอเพียงเชื่อมั่นอย่างนั้นแค่ฝึกวันละนิดอย่างน้อยที่สุดเราก็เก่งกว่าตัวเราเองในเมื่อวานแล้ว ขอแนะนําให้ผู้อ่านไม่ละความพยายาม และสร้างกระบวนการคิดแบบเติบโตไว้ในใจอยู่เสมอ รับรองว่า ความสำเร็จและความรู้ความสามารถของเราจะเพิ่มขึ้นจนคนทักแน่นอน