คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ยินคำว่า Outplacement มาก่อนเลย แล้วก็ไม่เข้าใจว่าบริการนี้ช่วยอะไรได้ และก็ใช้เรียกแตกต่างกันไม่ว่าจะเป็นการเตรียมพร้อมพนักงานที่ถูกเลิกจ้างเข้าสู่งานใหม่ หรือบริการที่ช่วยให้พนักงานที่สูญเสียหรือกำลังจะสูญเสียงานค้นพบอาชีพใหม่ได้อย่างรวดเร็ว หรือการบอกเลิกจ้าง หรือบริการช่วยจัดหางานใหม่ หรือบริการให้คำปรึกษาในการหางานใหม่ ไม่ว่าจะเรียกอย่างไร Outplacement หรือจะเรียกอีกอย่างว่า Career Transition คือการที่บริษัทเล็งเห็นความจำเป็นให้ความช่วยเหลือพนักงานที่ถูกบอกเลิกจ้าง โดยว่าจ้างจัดหาผู้เชี่ยวชาญในการจัดฝึกอบรมให้คำปรึกษาโดยที่พนักงานไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างไร มีเพียงจุดประสงค์ที่จะให้ความช่วยเหลือพนักงานในการเตรียมตัวเพื่อให้พนักงานที่มีผลกระทบเหล่านั้นมีความเข้าใจขั้นตอนและกระบวนการการหางานรวมทั้งแนวโน้มตลาดแรงงานในช่วงนั้น ๆ รวมทั้งแหล่งงานที่เหมาะสม นอกจากนั้นกระบวนการเหล่านั้นยังมีทางเลือกให้พนักงานอีกด้วยเช่น ยังคงหางานในลักษณะเดิม ในอุตสาหกรรมเดิม หรือหางานแบบเดิมต่างอุตสาหกรรม หรือมองหาการเป็นเจ้าของธุรกิจ
นอกจากการเตรียมความพร้อมในสายอาชีพ ผู้เชี่ยวชาญยังสามารถช่วยพนักงานให้ประเมินตนเองก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นการตัดสินใจที่เหมาะสม ช่วยให้พนักงานได้เห็นทักษะ ความรู้ ความสามารถที่เหมาะกับพนักงาน เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด หางานได้ตรงกับความต้องการของตัวเองมากที่สุด
Outplacement หรือ Career Transition เป็นบริการเพียงส่วนหนึ่งของการบอกเลิกจ้างที่เป็นบริการที่มุ่งให้ผลประโยชน์โดยตรงกับพนักงานแม้ว่าพ้นสภาพการว่าจ้างแล้ว ซึ่งบริการนี้สามารถปรับให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้ซึ่งอาจจะมี การให้คำปรึกษาด้านอาชีพ การเตรียม resume การฝึกการให้สัมภาษณ์ หาแหล่งงาน หรือการต่อรองเงินเดือน และอีกมากมาย ซึ่งกระบวนการเหล่านี้สร้างความมั่นใจ ความพร้อมทั้งตัวเองและความเข้าใจตลาดแรงงาน
มาทำความเข้าใจเพิ่มอีกนิดว่าบริการ Outplacement หรือ Career Transition ให้ประโยชน์อย่างไรบ้างแม้ว่าการเลิกจ้างเป็นเรื่องที่บริษัทต้องใช้เงินสูงมากก็ตาม แต่ผลที่ตอบแทนจากการให้บริการนี้อาจจะไม่เทียบเป็นเงินได้เลย เมื่อพนักงานสามารถได้งานใหม่ที่เหมาะสม ได้รับค่าตอบแทนที่น่าพึงพอใจ และสิ่งที่พนักงานรับรู้ถึงคุณค่าของตัวเขาที่บริษัทมอบให้
- สร้างภาพลักษณ์ที่ดีของบริษัท สังคมจะมองว่าบริษัทมีคุณธรรมต่อพนักงาน ให้คุณค่าต่อผลงานที่พนักงานนั้นสร้างไว้ตลอดระยะเวลาการจ้างงาน และอาจจะเห็นใจด้วยซ้ำว่าบริษัทคงไม่อยากให้เกิดการเลิกจ้างแต่คงมีความจำเป็นจริง ๆ
- ลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นต่อตัวพนักงาน ผู้เกี่ยวข้อง หรือภาพลักษณ์ของบริษัท เพราะเป็นเรื่องปกติมาก ๆ ที่พนักงานที่ถูกบอกเลิกจ้างอาจจะเกิดความโกรธทำร้ายตัวเอง หรือผู้อื่น หรือนำบริษัทไปพูดอย่างเสียหาย เมื่อพนักงานรับทราบว่าทางบริษัทไม่ได้เพิกเฉยและยังคงให้ความช่วยเหลือสนับสนุนการอบรมพัฒนาการเตรียมความพร้อมเพื่อการหางาน
- เพิ่ม Staff moral ให้กับพนักงานที่เหลืออยู่ เพราะแม้ว่าบริษัทจำเป็นต้องตัดตำแหน่งงานบางส่วนออก แต่พนักงานที่มีผลกระทบได้รับการดูแลอย่างยุติธรรมและให้เกียรติ พร้อมทั้งให้การช่วยเหลือสนับสนุนแม้ว่าจะพ้นสภาพการจ้างแล้ว บริษัทก็น่าจะดูแลพนักงานที่เหลือเป็นอย่างดีเช่นกัน
ควรจะเลือกบริษัทให้คำปรึกษาหรือบริการ Outplacement อย่างไร
แต่และบริษัทก็มีบริการที่ต่างกัน ความชำนาญของที่ปรึกษาและราคาก็ต่างกันทั้งสิ้น ถ้าจำเป็นต้องคัดเลือกบริษัทที่เข้ามาดูแลพนักงานที่มีผลกระทบซึ่งค่อนข้างจะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนอยู่แล้ว ขั้นตอนการเตรียมตัวจึงจำเป็นต้องตอบโจทย์ของผู้ที่มีผลกระทบอย่างสูงสุด ควรจะต้องคำนึงถึงขั้นตอนพื้นฐานเหล่านี้
- มีโครงการให้เลือกไม่ว่าจะเป็น การให้บริการแบบตัวต่อตัว เป็นกลุ่ม หรือแม้แต่เป็นสัมมนา
- ให้คำแนะนำการเขียน Resume ตรวจสอบ วิเคราะห์แก้ไขให้เหมาะกับตัวพนักงานและตรงกับความต้องการของตลาด
- เตรียมตัวการสัมภาษณ์ เทคนิคการสัมภาษณ์
- การประเมินทักษะความสามารถ
- เครื่องมือและแหล่งในการหางาน
- การต่อรองเงินเดือน
- คำแนะนำในการสร้างเครือข่าย
- การสร้างตัวตนบนโซเชียลมีเดียในการหางาน
- การเตรียมตัวสร้างธุรกิจ
เหล่านี้เป็นเพียงปัจจัยพื้นฐานให้นายจ้างใช้เป็นหลักในการพิจารณาเลือกบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญ มีชื่อเสียงและให้ประโยชน์กับพนักงานสูงสุด
สิ่งที่ควรเข้าใจอีกอย่างสำหรับบริษัทที่ให้บริการ Outplacement หรือ Career Transition คือบริษัทเหล่านั้นไม่ได้เป็นบริษัทจัดหางาน ดังนั้นจึงไม่ได้สามารถสมัครงานแทนและไม่สามารถรับประกันงานได้
ไม่ว่าจะอย่างไร การที่จะเลือกบริษัทให้บริการ Outplacement ควรต้องทำการสำรวจให้ดี เปรียบเทียบทั้งชื่อเสียงของบริษัท โปรแกรมทางเลือกให้เหมาะกับกลุ่มพนักงาน ผลงานที่ผ่านมา เพียงเท่านี้ก็จะทำให้กระบวนการเลิกจ้างเป็นไปอย่างเหมาะสมครบถ้วนสมบูรณ์