โดยปกติเรามีเส้นทางสายอาชีพที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับเป้าหมายส่วนตัว โอกาสในองค์กร ทักษะและความสนใจ สภาพแวดล้อมในอุตสาหกรรม และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี โดยที่มีโอกาสเติบโตในเส้นทางอาชีพตั้งแต่จุดเริ่มต้นไปจนถึงเป้าหมายอยู่แล้วซึ่งมีรูปแบบที่พบบ่อย เช่น
- การเติบโตก้าวหน้าตามลำดับในสายงานเดียวกัน หรือเส้นทางแนวดิ่ง (Vertical) เช่น
พนักงานขาย → ผู้จัดการขาย → ผู้อำนวยการฝ่ายขาย - การเติบโตจากการพัฒนาความเชี่ยวชาญ หรือเส้นทางแนวนอน (Horizontal) เช่น
นักวิเคราะห์การตลาด → นักวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ → นักวิเคราะห์กลยุทธ์ - การเติบโตผสมผสานระหว่างการเติบโตแนวดิ่งและแนวนอน หรือเส้นทางแบบซิกแซก (Zigzag) เช่น
นักพัฒนาซอฟต์แวร์ → ผู้จัดการโปรเจค → ที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยี - การเติบโตโดยมุ่งเน้นความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน หรือเส้นทางแบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert) เช่น
นักวิจัย → นักวิจัยอาวุโส → ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัย
การย้ายสายงาน
แต่ก็มีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ต้องการเปลี่ยนงาน หรือการย้ายสายงานจากที่เคยทำอยู่ไปเป็นสายงานอื่นๆ ที่สามารถสร้างโอกาสที่จะเติบโตในอาชีพ และก็ถือเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง ซึ่งโอกาสที่จะเป็นไปได้หรือไม่ก็ต้องขึ้นอยู่กับการเตรียมตัวให้พร้อมกับแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมที่เลือกไว้ ซึ่งในบางครั้งต้องยอมแลกกับการเปลี่ยนตำแหน่งงานที่ต่ำกว่าหรือระดับเดียวกับงานเดิม แทนที่จะเป็นการเลื่อนตำแหน่งขึ้น ซึ่งถือเป็นการเคลื่อนย้ายในแนวราบ (Lateral move) การเลือกเส้นทางแบบนี้อาจไม่ได้นำไปสู่การขึ้นเงินเดือนในทันที แต่เป็นการลงทุนในอนาคตที่อาจนำไปสู่โอกาสที่ดีกว่าในระยะยาว เพราะมีข้อดีหลายๆ ด้าน เช่น
- มีโอกาสเพิ่มทักษะใหม่ ได้เรียนรู้งานในมุมมองที่แตกต่าง เพื่อพัฒนาความเชี่ยวชาญที่หลากหลาย และอาจจะทำให้ เข้าใจภาพรวมขององค์กรมากขึ้น
- สร้างโอกาสในระยะยาว เพื่อเปิดเส้นทางอาชีพใหม่ๆ เพิ่มความยืดหยุ่นในการเติบโต และเป็นการสร้างพื้นฐานสำหรับตำแหน่งผู้บริหาร
- หลุดจากการติดกับดักของการทำงานที่เดียว แบบเดียวในระยะเวลานาน หลีกเลี่ยงความเบื่อหน่ายในงาน หรือติดอยู่ในตำแหน่งเดิมนานเกินไป ในขณะเดียวกันลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาทักษะเดียว
ตัวอย่าง Lateral Move:
- นักการตลาดดิจิทัล → นักพัฒนาคอนเทนต์
- เจ้าหน้าที่ฝ่ายขาย → เจ้าหน้าที่ลูกค้าสัมพันธ์
- นักวิเคราะห์การเงิน → นักวิเคราะห์ธุรกิจ
- ผู้จัดการโครงการไอที → ผู้จัดการผลิตภัณฑ์
การตัดสินใจเลือกเส้นทางนี้อาจจะเกิดจากการที่ไม่มีตำแหน่งว่างให้เลื่อนขึ้นในที่ทำงานปัจจุบัน ความต้องการเปลี่ยนสายงานเพราะอยู่ในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบทางธุรกิจช่วงขาลง หรือแม้แต่ความต้องการสร้างสมดุลชีวิต-งานที่ดีขึ้น หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมการทำงานที่ไม่เหมาะกับทัศนคติของเรา การเลือกเส้นทางแบบ Lateral move ยังช่วยให้มีโอกาสเรียนรู้ทักษะใหม่ ยังถือโอกาสหาความท้าทายใหม่ สร้างเครือข่ายที่กว้างขึ้นและเปลี่ยนบรรยากาศการทำงานให้ดียิ่งขึ้น
ด้วยแนวคิดนี้ LHH จึงทำความเข้าใจเรื่องการผลักดันด้านอาชีพ วางกลยุทธ์เพื่อให้พนักงานได้มีการกำหนดเส้นทางความก้าวหน้าในอาชีพ หรือแนวทางการเติบโตในสายอาชีพของแต่ละคนเพื่อแสดงพัฒนาการของอาชีพ การสร้างความมั่นใจในอาชีพ และการสนับสนุนพนักงานในช่วงเวลาสำคัญ เพื่อให้สามารถผ่านช่วงเวลาเหล่านี้ได้อย่างราบรื่น
การผลักดันอาชีพเชิงรุก (Career activism) คือแนวคิดที่เน้นให้บุคคลมีบทบาทเชิงรุกในการจัดการและพัฒนาเส้นทางอาชีพของตนเอง แทนที่จะรอให้โอกาสหรือการเลื่อนตำแหน่งมาหา
Smart Goal คืออะไร?
SMART Goal คือเทคนิคการตั้งเป้าหมายที่ช่วยให้เป้าหมายชัดเจนและวัดผลได้ โดยคำว่า SMART ย่อมาจากหลักการ 5 ข้อ ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้การตั้งเป้าหมายมีประสิทธิภาพสูงสุด วิธีการนี้ได้รับความนิยมในการบริหารงานและการพัฒนาตนเอง เพราะช่วยให้ผู้ตั้งเป้าหมายสามารถติดตามและประเมินผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้มีแนวโน้มที่จะบรรลุเป้าหมายได้มากขึ้น
Smart Goal ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง?
- S – Specific (เฉพาะเจาะจง): เป้าหมายควรระบุรายละเอียดให้ชัดเจนว่าต้องการทำอะไร เพื่อให้ผู้ปฏิบัติรู้แนวทางการทำงานอย่างชัดเจนและไม่หลงทาง
- M – Measurable (วัดผลได้): ควรกำหนดตัวชี้วัดที่สามารถประเมินความสำเร็จของเป้าหมายได้ เพื่อให้สามารถติดตามความก้าวหน้าและทราบว่าเป้าหมายได้สำเร็จหรือยัง
- A – Achievable (ทำได้จริง): เป้าหมายควรอยู่ในขอบเขตที่เป็นไปได้ โดยพิจารณาทรัพยากรและความสามารถที่มีอยู่เพื่อไม่ให้เป้าหมายเกินความเป็นจริง
- R – Relevant (มีความสำคัญ): เป้าหมายควรเกี่ยวข้องและสนับสนุนกับวิสัยทัศน์หรือแผนการขององค์กรหรือบุคคล เพื่อให้การทำงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
- T – Time-bound (มีกรอบเวลา): กำหนดระยะเวลาชัดเจนในการบรรลุเป้าหมาย เพื่อให้ผู้ปฏิบัติมีความรู้สึกเร่งด่วนและมุ่งมั่นในการทำงาน
การนำ SMART Goal มาปรับใช้เพื่อเปลี่ยนสายงาน
การนำ Smart Goal จะช่วยให้การวางเส้นทางหรือแนวทางการเติบโตในสายอาชีพของแต่ละคนโดย
- การตั้งเป้าหมายอาชีพที่ชัดเจน
- การวางแผนพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง
- การแสวงหาโอกาสในการเรียนรู้และเติบโต
- การสร้างเครือข่ายอย่างมีกลยุทธ์
- การนำเสนอผลงานและความสามารถของตนเองอย่างมืออาชีพ
- การกล้าที่จะขอคำแนะนำและความช่วยเหลือจากผู้อื่น
- การรับผิดชอบต่อการพัฒนาความก้าวหน้าในอาชีพของตนเอง
ตัวอย่างการนำกระบวนการ SMART Goal มาใช้สำหรับการเปลี่ยนสายงานซึ่งอาจจะหมายถึง
- ลักษณะงานเดิม → ลักษณะงานใหม่ ในอุตสาหกรรมเดิม
- ลักษณะงานเดิม → ลักษณะงานเดิม ในอุตสาหกรรมใหม่
- ลักษณะงานเดิม → ลักษณะงานใหม่ ในอุตสาหกรรมใหม่
- ลักษณะงานเดิม → เจ้าของกิจการ
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าเป้าหมายคือการที่เรากำหนดเส้นทางและแนวทางรวมทั้งข้อปฎิบัติ ที่สามารถวัดผลหรือประเมินได้จากการใช้ SMART goals และเราจะนำ SMART Goal มาช่วยกำหนดเป้าหมายและเส้นทางในการย้ายสายงานหรืออุตสาหกรรมกันได้อย่างไร ลองมาดูตัวอย่างต่างๆ กันก่อน
S – Specific
การกำหนดเป้าหมายเฉพาะของตัวเองก่อน ถ้าเป็นเป้าหมายใหญ่ ควรต้องมีการแบ่งย่อยให้เป็นแต่ละประเภทเพื่อให้การปฎิบัติไม่ซับซ้อนและสามารถวัดประเมินผลได้อย่างจริงจัง พูดง่ายๆ ก็คือ อยากประสบความสำเร็จในเรื่องอะไร และจะทำอย่างไร
ตัวอย่างเช่น งานปัจจุบันเป็นนักการตลาดที่ได้มีโอกาสวิเคราะห์การเติบโตของตลาด แนวโน้มของธุรกิจหรืออุตสาหกรรมในอนาคต กลยุทธ์ของคู่แข่ง ปัจจัยในทางบวกและลบที่มีต่ออุตสาหกรรม รวมทั้งได้มีโอกาสในการนำเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้ จนมีความรู้สึกชอบ สนุกและท้าทาย จนกระทั่งอยากเปลี่ยนสายงานจากนักการตลาด (Marketing) เป็นนักวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analyst) ในอุตสาหกรรมเดิม นีคือเป็นการระบุสายงานเป้าหมายอย่างชัดเจน สิ่งที่ต้องทำในลำดับต่อมาคือ ต้องวิเคราะห์คุณสมบัติที่ต้องมี จึงจะมองเห็นว่าควรจะต้องเรียนรู้อะไรเพิ่มเติม (Upskills/Reskills) แล้วจึงเริ่มวางแผน กำหนดระยะเวลา ย้อนกลับมาดูว่าประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมามีความใกล้เคียงกับงานนี้เพื่อนำมาเขียน Resume เพื่อใช้ในการสมัครงาน
M – Measurable
กำหนดวิธีการวัดประเมินผล เครื่องมือที่ใช้ในการวัด ระยะเวลาในการประเมินให้ชัดเจนและสามารถทำได้ ใช้ข้อมูลอะไรที่จะใช้ตัดสินว่าเป้าหมายจะบรรลุผลหรือไม่ และการวัดผลมีความถูกต้องและน่าเชื่อถือมากน้อยขนาดไหน
เมื่อกำหนดเป้าหมายหลักที่ชัดเจนได้แล้ว มีการวางแผนและระยะเวลาที่ต้องการแล้ว ต้องมากำหนดตัวชี้วัดที่เป็นรูปธรรม เช่น ความสามารถและความชำนาญหลักที่เป็นที่ต้องการของตำแหน่งนักวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analyst) ต้องมีอะไรบ้าง เช่น ใบรับรอง Google Data Analytics Certificate ต้องสอบผ่าน SQL และ Python พื้นฐาน และอื่นๆ อีกก็ตาม หลังจากนั้นตรวจสอบว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้เป็นไปได้มากน้อยขนาดไหน ถ้าทำได้เป็นไปตามเป้าหมายและกำหนดการที่วางไว้ ควรต้องสมัครงานอย่างน้อยกี่บริษัท และจะต้องได้เข้าสัมภาษณ์อย่างน้อยกี่บริษัท เพื่อประเมินต่อว่าความเป็นไปได้มากน้อยขนาดไหน
A- Achievable
ควรต้องมีการสำรวจเป้าหมายว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน เพื่อช่วยในการวางแผน ประหยัดเวลาและทรัพยากร ตัดเป้าหมายที่ไม่สามารถปฎิบัติได้จะได้ไม่เสียกำลังใจและไม่สร้างความผิดหวังให้กับตัวเอง
เมื่อประเมินทักษะปัจจุบันแล้ว เดินตามขั้นตอนแผนพัฒนาทักษะที่ขาดแล้ว ต้องวิเคราะห์ Gap Skills ฝึกทำโปรเจคส่วนตัว หรือเข้าร่วมคอมมูนิตี้นักวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อสร้างเครือข่าย พัฒนาความชำนาญ และสร้างโอกาสในการเพิ่มประสบการณ์เพื่อเตรียมการสัมภาษณ์
R- Relevant
มีส่วนไหนที่เกี่ยวข้องสอดคล้องกับเป้าหมายที่กำหนดไว้แล้ว สร้างความเกี่ยวเนื่องและนำมาพิจารณาเพื่อให้บรรลุตามเจตนา เช่นเป้าหมายที่กำหนดมีความหมายต่อบุคคลอย่างไร ในสถานการณ์ปัจจุบันคุ้มค่ากับการพัฒนาและลงทุนหรือไม่
ความสอดคล้องที่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้คือ ข้อกำหนดของบริษัทที่ต้องการร่วมงานด้วย สำรวจความต้องการของตัวเองอย่างจริงจัง สำรวจตลาดแรงงานในช่วงนั้น วิเคราะห์แนวโน้มธุรกิจ สำรวจความต้องการของตลาด ประเมินความถนัดตนเอง และอาจจะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในสายงานนั้นๆ เพื่อยืนยันสิ่งที่เราคิด ซึ่งเหล่านี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่เราจะมองข้ามไม่ได้
T- Time-bound
มีการกำหนดกรอบเวลาไว้อย่างไรบ้าง ต้องวัดผลบ่อยขนาดไหน เป้าหมายเฉพาะที่แบ่งซอยออกมาต้องเสร็จสิ้นภายในวันที่เท่าไร เพื่อช่วยในการติดตามความคืบหน้า สร้างแรงจูงใจ ประเมินผลสำเร็จได้อย่างเป็นรูปธรรม และบริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การแบ่งช่วงเวลาเพื่อการวางแผน และกำหนดเส้นชัยที่ชัดเจน จะทำให้เราไม่เสียเวลาและทรัพยากรที่ไม่จำเป็น เช่น
เดือนที่ 1-2: กำหนดการเรียนรู้พื้นฐาน
เดือนที่ 3-4: ฝึกทักษะเชิงลึก
เดือนที่ 5: สอบใบรับรอง
เดือนที่ 6: เริ่มสมัครงาน
เดือนที่ 7-8: สัมภาษณ์งาน
เดือนที่ 9: เริ่มงานใหม่
การกำหนดเป้าหมายเฉพาะทาง ต้องเป็นการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน มีการวางแผนล่วงหน้าทั้งระยะสั้นและระยะยาว กำหนดสิ่งที่ต้องการเรียนรู้ระบุทักษะที่ต้องพัฒนา ศึกษางานใหม่อย่างละเอียด สร้างเครือข่ายในแผนกเป้าหมาย สื่อสารกับตัวเองอย่างชัดเจน กระตือรือร้นในการเรียนรู้ รวมทั้งติดตามความก้าวหน้าอย่างสม่ำเสมอ
ดังนั้นจะเห็นเส้นทางและกำหนดเวลาที่ชัดเจนว่าภายใน 9 เดือน ก็จะสามารถเปลี่ยนงานจากนักการตลาดเป็นนักวิเคราะห์ข้อมูลในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยได้ใบรับรอง Google Data Analytics Certificate และควรจะต้องสามารถสมัครงานผ่านอย่างน้อย 3 บริษัท
นอกจากการวางแผนเพื่อเปลี่ยนสายงาน เพื่อการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ควรจะทำการประเมินตนเองเป็นระยะ วิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็ง ทักษะที่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติม กำหนดเป้าหมายในอาชีพทั้งระยะสั้นและระยะยาว เข้าร่วมอบรม สัมนา หรือเรียนออนไลน์ อ่านหนังสือที่เกี่ยวกับสายงานเพื่อช่วยเพิ่มพูนความรู้ และเข้าใจตลาดรวมทั้งแนวโน้มตลาดในอนาคต เพราะสิ่งที่มีผลกระทบต่ออาชีพการงานและชีวิตอย่างมหาศาลที่เราไม่อาจคาดการณ์ได้เช่น โรคระบาดใหม่ๆ เช่น COVID19 ทำให้ทั้งโลกอยู่ในสภาวะชะงักงัน หรือการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีซึ่งเราจะยังคงตามทันถ้าเรายังคงสนใจหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอๆ