ในยุคที่ธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การปรับตัว ความคิดสร้างสรรค์ และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญในการประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน สำหรับหลายองค์กร ปี 2024 ได้นำพาความท้าทายมากมายการเปิดตัวของ AI ที่มากขึ้นทำให้ตลาดงานหรือบางบริการได้รับผลกระทบอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของความคาดหวังของลูกค้าต้องเร็วขึ้น สะดวกขึ้น บริการอย่างไร้รอยต่อมากขึ้น และความจำเป็นในการรวมเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ร่วมกับการทำธุรกิจบางทีเริ่มลงทุนทำระบบ Prompt AI ใช้ในองค์กรแบบออกแบบมาโดยเฉพาะ จากความท้าทายเหล่านี้ จึงต้องนำ Growth mindsets มาปรับใช้เป็นกลยุทธ์สำหรับปีต่อไป
แนวคิดแบบเติบโต (Growth Mindset) ซึ่งเป็นแนวคิดที่นำเสนอโดยนักจิตวิทยา Carol Weck แนวคิดการเติบโตคือความเชื่อที่ว่า ความสามารถ สติปัญญา และพรสวรรค์สามารถพัฒนาได้ด้วยความมุ่งมั่นและความพยายาม เมื่อผู้นำองค์กรนำแนวคิดนี้มาใช้ จะช่วยสร้างวัฒนธรรมของการเรียนรู้และความยืดหยุ่น ซึ่งกระตุ้นให้องค์กรยอมรับความท้าทาย มีความมุ่งมั่นแม้ในยามเผชิญกับความล้มเหลว และพัฒนาปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
8 วิธีการฝึกสร้างกลยุทธ์ทางธุรกิจสำหรับปีหน้า
การสร้างพลังของแนวคิดแบบเติบโต (Growth Mindset) ในผู้นำ
ผู้นำมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางขององค์กร ผู้นำที่มีแนวคิดแบบเติบโตจะมองความท้าทายด้วยความมองโลกในแง่ดี และมองว่าความล้มเหลวเป็นโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนา พวกเขามักจะสร้างบรรยากาศที่เกิดการทดลอง การเรียนรู้ และนวัตกรรมได้รับการสนับสนุนและคาดหวัง
ตัวอย่างเช่น Satya Nadella CEO ของ Microsoft เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมของ Microsoft โดยนำแนวคิดการเติบโตมาใช้ภายในองค์กร ภายใต้การนำของเขา Microsoft ได้เปลี่ยนโฟกัสไปที่การประมวลผลบนคลาวด์และสร้างวัฒนธรรมที่เน้นการทำงานร่วมกันและนวัตกรรม ทำให้บริษัทกลับมาเป็นผู้นำตลาดอีกครั้งและประสบความสำเร็จในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
การสร้างวัฒนธรรมองค์กร
เมื่อผู้นำยอมรับแนวคิดแบบเติบโต สิ่งนี้จะมีผลกระทบต่อทั้งองค์กร ทีมงานจะมีแนวโน้มที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาด้วยความอยากรู้แทนที่จะกลัว ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการทำงานร่วมกันและการสื่อสารที่เปิดเผย พนักงานมีแรงจูงใจในการพัฒนาทักษะใหม่ๆ ท้าทายกระบวนการที่ล้าสมัย และหาทางแก้ไขปัญหาที่สร้างสรรค์ วัฒนธรรมการเรียนรู้นี้เป็นสิ่งสำคัญในอุตสาหกรรมที่ต้องการนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เช่น เทคโนโลยี การดูแลสุขภาพ และสินค้าอุปโภคบริโภค
การระมัดระวังอันตรายของแนวคิดแบบยึดติด (Fixed Mindset)
(Fixed Mindset) แนวคิดแบบยึดติด
มองความสามารถ พรสวรรค์ และสติปัญญาว่าเป็นสิ่งที่คงที่และไม่สามารถพัฒนาได้ คนที่มีแนวคิดคงที่เชื่อว่าตนเองมีระดับสติปัญญาหรือพรสวรรค์ที่เกิดมาแล้วไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แนวคิดแบบนี้นำไปสู่การกลัวต่อความเสี่ยง ไม่กล้าลงมือทำอะไรใหม่ๆ ความกลัวความล้มเหลว และการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงเพราะว่ากังวล
องค์กรและผู้นำที่ดำเนินงานด้วยแนวคิดแบบยึดติด
ไม่เต็มใจที่จะลองสิ่งใหม่ๆ หลีกเลี่ยงความท้าทายที่ยาก สนใจและเน้นเพียงผลลัพธ์ระยะสั้น ทำให้องค์กรขาดความสามารถในการตอบสนองต่อสถานการณ์ยากลำบากไม่สามารถสร้างนวัตกรรมได้ และถูกทิ้งห่างจากคู่แข่งที่มีความยืดหยุ่นมากกว่าดังนั้นการเปลี่ยนไปใช้แนวคิดการเติบโตเพื่อความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์สำคัญอย่างมาก
การสร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง
แทนที่จะยึดติดกับสิ่งที่เคยทำได้ในอดีต องค์กรเหล่านี้จะทดลองแนวคิด เทคโนโลยี และกระบวนการใหม่ๆ พวกเขาไม่กลัวความล้มเหลว เพราะเข้าใจว่าความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางสู่ความสำเร็จ
กระตุ้นการมีส่วนร่วมของพนักงาน
วัฒนธรรมที่สนับสนุนแนวคิดการเติบโตช่วยให้พนักงานเป็นคนกำหนดทิศทางการพัฒนาตนเองเพื่อตัวของพวกเขาเอง เพราะพนักงานที่เชื่อว่าความสามารถของพวกเขาสามารถพัฒนาได้มักจะมองหาความท้าทายใหม่ๆ และก้าวข้ามขีดจำกัดของตนเอง
เปลี่ยนความผิดพลาดให้เป็นโอกาส
เรียนรู้รวบรวมข้อมูลสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อเก็บข้อมูลเฟ้นหาจุดเริ่มต้นของข้อผิดพลาด จดจำสิ่งที่ทำได้ดี ปรับปรุงกระบวนการให้ดีขึ้นอยู่เสมอ และหาวิธีการป้องกันปัญหาที่จะเกิดในอนาคต การมองปัญหาเป็นหลากหลายส่วนจะช่วยให้เห็นปัญหาชัดเจนขึ้น ปัญหาจากระบบ ปัญหาจากการทำงานหรือความร่วมมือระหว่างทีม ปัญหาของการสื่อสาร ปัญหาของการที่ไม่เห็นเป้าหมายที่ชัดเจน ปัญหาคนทำงานขาดทักษะที่จะทำให้งานลุล่วง ปัญหาการเข้าถึงข้อมูลของคนในองค์กร เมื่อเห็นอย่างถี่ถ้วน ก็เป็นโอกาสให้เราสร้างกลยุทธ์เพื่ออุดรอยรั่วนั้นๆ
เข้าใจมุมมองและความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้งละความเชื่อแบบเดิมๆ ว่าเป็นไปไม่ได้
การตั้งใจฟัง การถามคำถามที่ถูกต้อง การรับฟังความคิดเห็นจากลูกค้าหากให้ดีที่สุดคือการเปิดใจ ซึ่งเป็นข้อสำคัญของ growth mindset ฟังเพื่อต้องการได้ยิน ได้เห็นสิ่งที่ผู้อื่นกำลังจะสื่อสาร ไม่ใช่ฟังเพื่อตอบโต้บทสนทนาอย่างเดียว การใช้คำว่า เอาใจเขามาใส่ใจเรา เหมือนจะเชย แต่ชัดเจนที่สุดในการนิยามของการเปิดใจฟัง
สร้างจุดแข็งของบริการหรือสินค้าจากการมองแบบ outside in มากขึ้น
การพัฒนาจุดแข็งทำได้หลายทฤษฎี 1 ในนั้นคือการศึกษาจุดแข็งของบริษัทคู่แข่งว่าทำไมบริการหรือสินค้านั้นๆ ถึงได้รับความนิยม เพราะเหตุผลใด สิ่งนั้นนำมาสิ่งการแก้ปัญหาอะไร การขายหรือการทำกำไรในทุกธุรกิจล้วนมาจากจุดที่ง่ายที่สุดคือ ผลิตภัณฑ์หรือบริการนี้ต้องการบอกอะไรกับฐานลูกค้า ทำมาเพื่อแก้ปัญหาใด ดีกว่าเจ้าอื่นๆ อย่างไร สะดวกกว่า ถูกกว่า รวดเร็วกว่า ปรับให้ตามต้องการหรือรสนิยมส่วนบุคคลได้มากกว่า การบริการหลังการขายที่ดีกว่า หรือตัวแทนขายอธิบายหรือมองเห็นปัญหาในอนาคตของสิ่งที่ลูกค้ามองไม่เห็น เมื่อดูทั้งหมดแล้วจึงเปรียบเทียบกับสิ่งที่บริษัทนำเสนอและทำให้ดีกว่านั่นเอง
12 ทักษะที่สำคัญสำหรับการมี Growth Mindset
ในด้านของบุคลากรโดยตรงนั้นการพัฒนา Growth Mindset เพื่อสร้างกลยุทธ์อย่างมีประสิทธิภาพจำเป็นต้องพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้อง 12 ทักษะที่สำคัญสำหรับการมี Growth Mindset และสามารถสร้างกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งได้มีดังนี้
การคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking)
ทักษะนี้ช่วยให้คนสามารถวิเคราะห์ข้อมูลอย่างมีระบบ สามารถมองปัญหาหลายมุมมอง และสร้างกลยุทธ์ที่ครอบคลุม วิธีฝึกเช่น อ่านบทความและศึกษาวิธีการวิเคราะห์ปัญหา และฝึกทำการตัดสินใจโดยพิจารณาผลกระทบหลายด้าน
การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ (Creative Problem Solving)
การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ช่วยให้คุณมองหาโอกาสในปัญหาและใช้วิธีใหม่ในการแก้ปัญหา วิธีฝึกเช่น ลองหาแนวทางที่ต่างไปจากเดิมในการแก้ไขปัญหาในที่ทำงานหรือในชีวิตประจำวัน
การปรับตัว (Adaptability)
ทักษะการปรับตัวมีความสำคัญในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วในสภาพแวดล้อมการทำงาน วิธีฝึกเช่น ฝึกเปิดรับสิ่งใหม่และเผชิญกับความท้าทายโดยไม่ลังเล
การคิดเชิงกลยุทธ์ (Strategic Thinking)
การคิดเชิงกลยุทธ์หมายถึงการมองเห็นภาพใหญ่และคิดระยะยาวในการตัดสินใจ วิธีฝึกเช่น ฝึกตั้งคำถามเกี่ยวกับวิสัยทัศน์และเป้าหมายระยะยาวของโครงการ และพยายามวางแผนตามภาพรวมนั้น
การจัดการเวลา (Time Management)
การจัดการเวลาอย่างมีประสิทธิภาพเป็นทักษะที่ช่วยให้บุคลากรทำงานได้ดีขึ้นและมีเวลาในการวางกลยุทธ์ที่มีคุณภาพ วิธีฝึกเช่น ใช้เครื่องมือในการจัดการเวลา เช่น ปฏิทินและการตั้งเป้าหมายประจำวัน
การสร้างความสัมพันธ์ (Relationship Building)
การสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นช่วยให้ทีมทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่นและสร้างโอกาสในการเรียนรู้ร่วมกัน วิธีฝึกเช่น เข้าร่วมกิจกรรมทีมบ่อยๆ และฝึกการสื่อสารที่ชัดเจนและเปิดกว้าง
การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ (Effective Communication)
การสื่อสารที่ชัดเจนและตรงไปตรงมาจะช่วยให้คนในทีมเข้าใจแนวคิดและกลยุทธ์ได้ง่ายขึ้น วิธีฝึกเช่น ฝึกพูดคุยและนำเสนอความคิดเห็นโดยเน้นความเข้าใจร่วมกัน
การสร้างแรงจูงใจในตัวเอง (Self-Motivation)
คนที่มี Growth Mindset จะมีความสามารถในการกระตุ้นตนเองและมีพลังในการทำงาน วิธีฝึกเช่น ตั้งเป้าหมายเล็กๆ และท้าทายตัวเองให้พยายามบรรลุเป้าหมายเหล่านั้น
การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง (Continuous Learning)
Growth Mindset สนับสนุนการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง วิธีฝึกเช่น หาคอร์สเรียนออนไลน์หรืออ่านหนังสือเกี่ยวกับการพัฒนาตนเองเป็นประจำ หรือลงหลักสูตร Cultivate growth mindsets ของบริษัท LHH เป็นต้น
การตัดสินใจที่มีข้อมูล (Data-Driven Decision Making)
การตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลช่วยให้กลยุทธ์มีความน่าเชื่อถือและสามารถปรับตัวตามสถานการณ์ได้ วิธีฝึกเช่น ฝึกวิเคราะห์ข้อมูลที่มีอยู่และนำข้อมูลมาใช้ในการตัดสินใจ
การทำงานร่วมกันเป็นทีม (Team Collaboration)
การทำงานเป็นทีมอย่างมีประสิทธิภาพช่วยให้กลยุทธ์มีการรับฟังความคิดเห็นจากหลายฝ่ายและหลากหลายมุมมอง วิธีฝึกเช่น สนับสนุนการระดมสมองและการทำงานร่วมกันในทีมอย่างเปิดใจ
ความยืดหยุ่นทางอารมณ์ (Emotional Resilience)
การรักษาสมดุลทางอารมณ์ในสถานการณ์ที่ยากลำบากช่วยให้คุณมีความสามารถในการเผชิญกับความท้าทายและคิดแก้ปัญหาอย่างไม่ย่อท้อ วิธีฝึกเช่น ฝึกการเจริญสติเพื่อเพิ่มความสามารถในการจัดการอารมณ์และฝึกการควบคุมตัวเองเมื่อเผชิญกับความเครียด
เมื่อคนในองค์กรพัฒนา Growth Mindset ร่วมกับทักษะทั้ง 12 นี้ จะสามารถสร้างกลยุทธ์ที่เข้มแข็งและยั่งยืนในระยะยาว
หากทางบริษัทอยากสร้างกลยุทธ์และสนใจการพัฒนาทีมให้มีประสิทธิภาพ สิ่งที่เริ่มต้นได้ง่ายและดีที่สุดคือการสนับสนุนให้พนักงานเข้ารับหลักสูตร Cultivate growth mindsets มาสร้างกระบวนการความเข้าใจ แล้วนำไอเดียนี้ไปใส่ในทุกๆ ส่วน จะเห็นได้ว่าการพัฒนาจะไปได้ไกล และไปได้เร็วทิ้งห่างคู่แข่งได้อย่างแน่นอน